Greenwashing คืออะไร? 7 สัญญาณ “ฟอกเขียว” ทำลายความแบรนด์ 

“ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100%” “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” “บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้” ในยุคที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แบรนด์ต่าง ๆ ก็พยายามปรับตัวและสื่อสารว่า พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่เคยสงสัยไหมว่าแบรนด์ที่บอกว่ารักษ์โลกนั้น… จริงใจแค่ไหน? 

เบื้องหลังคำโฆษณาสวยหรู อาจมี “กับดัก” ที่เรียกว่า Greenwashing ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เข้าใจผิด แต่ยังสามารถทำลายความเชื่อมั่น ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์จนหมดสิ้นได้ในพริบตา The BusinessSauce จะพาไปทำความรู้จักว่า Greenwashing คืออะไร พร้อมเปิด 7 สัญญาณเตือน “การฟอกเขียว” ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องรู้ทัน! 

Greenwashing คืออะไร? ทำไมถึงเป็น “กับดัก” ของแบรนด์ 

Greenwashing หรือที่หลายคนเรียกว่า “การฟอกเขียว” คือกลยุทธ์ทางการตลาด ที่บริษัทใช้เวลา ทรัพยากร และงบประมาณไปกับการสร้างภาพ ให้ตัวเองดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าการลงมือทำจริง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม หรือพูดให้ดูดี แต่ทำจริงน้อยมาก (หรือไม่ได้ทำเลย) 

คือการใช้คำพูดหรือรูปภาพ ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ว่าผลิตภัณฑ์หรือองค์กรนั้น ๆ มีความยั่งยืนและใส่ใจโลก ทั้งที่ความจริงแล้ว อาจจะยังคงสร้างผลกระทบทางลบ ต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนเดิม หรือทำดีเพียงเล็กน้อยแต่โฆษณาเกินจริงไปมาก 

ทำไมถึงเป็นกับดัก?  

เพราะในระยะสั้น Greenwashing อาจช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่ในระยะยาว เมื่อผู้บริโภคจับได้ว่า สิ่งที่แบรนด์สื่อสารไม่ใช่ความจริง ความไว้วางใจที่เคยมีจะพังทลายลง การกู้คืนชื่อเสียงนั้น ยากและแพงกว่าการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส ตั้งแต่แรกหลายเท่านัก 

7 สัญญาณเตือนภัย จับไต๋ “การฟอกเขียว” (Greenwashing) 

Terrachoice องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมได้วิเคราะห์และสรุป 7 กลยุทธ์ ที่แบรนด์มักใช้ในการทำ Greenwashing ซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณเตือน ให้เราฉุกคิดก่อนเชื่อ 

1. ซ่อนข้อเสีย ชูแต่ข้อดีเล็ก ๆ น้อย ๆ  

เป็นการเน้นย้ำคุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อม เพียงข้อเดียวของผลิตภัณฑ์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากผลกระทบด้านลบอื่น ๆ ที่ใหญ่กว่า 

ตัวอย่าง กระดาษที่โฆษณาว่า “มาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์” แต่ไม่ได้บอกว่ากระบวนการฟอกสีกระดาษนั้น ใช้สารเคมีอันตรายและปล่อยน้ำเสียจำนวนมหาศาล 

2. ไม่มีหลักฐานพิสูจน์  

การกล่าวอ้างคุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมลอย ๆ โดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน หรือใบรับรองจากสถาบันที่น่าเชื่อถือมายืนยัน 

ตัวอย่าง แชมพูขวดหนึ่งติดป้ายว่า “ส่วนผสมออร์แกนิก 100%” แต่เมื่อพลิกดูส่วนผสม กลับไม่มีตรารับรองมาตรฐานออร์แกนิกใด ๆ เลย (เช่น USDA Organic, ECOCERT) 

3. ใช้คำคลุมเครือ ไม่ชัดเจน  

การใช้คำศัพท์ที่ฟังดูดี แต่ความหมายกว้างมาก และตีความได้หลายอย่าง ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจไปเองว่าผลิตภัณฑ์นั้นดีต่อโลก 

ตัวอย่าง สเปรย์ปรับอากาศที่เขียนว่า “All-Natural” (จากธรรมชาติล้วน) ทั้งที่ความจริงแล้ว สารอย่างสารหนู ยูเรเนียม หรือปรอท ก็เป็นสารจากธรรมชาติเช่นกัน แต่ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย 

4. ติดป้ายปลอม หรือสร้างตรารับรองขึ้นมาเอง  

เป็นการออกแบบโลโก้ หรือตรารับรอง ให้ดูคล้ายกับตราสัญลักษณ์ขององค์กรสิ่งแวดล้อม ที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือปลอม ๆ 

ตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ที่มีรูปใบไม้สีเขียว พร้อมข้อความ “Eco-Certified” ซึ่งเป็นตราที่แบรนด์ออกแบบขึ้นเอง ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกที่เป็นกลาง 

5. อ้างเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน  

การชูจุดขาย ในเรื่องที่มันเป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว หรือเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีปัญหาแต่แรก เพื่อทำให้สินค้าดูพิเศษกว่าความเป็นจริง 

ตัวอย่าง สินค้าที่โฆษณาว่า “CFC-Free” (ปราศจากสาร CFC) ซึ่งฟังดูดี แต่ความจริงแล้วสาร CFC เป็นสารที่มีกฎหมายห้ามใช้ ในผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มานานหลายสิบปีแล้ว 

6. เลือกพูดความจริงแค่บางส่วน  

การพยายามทำให้ผลิตภัณฑ์ของตน ดูเป็นทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่า เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่น ในหมวดเดียวกันที่แย่มาก ๆ ทั้งที่ตัวผลิตภัณฑ์เอง ก็ยังคงส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ดี 

ตัวอย่าง บุหรี่ออร์แกนิก หรือรถยนต์ SUV ที่โฆษณาว่า “ประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นอื่น” ทั้งที่โดยพื้นฐานแล้วการสูบบุหรี่และการใช้รถยนต์ขนาดใหญ่ ก็ยังคงสร้างผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอยู่ดี 

7. โกหกไปเลย  

นี่คือขั้นที่เลวร้ายที่สุด คือการกล่าวอ้างคุณสมบัติ ที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย 

ตัวอย่าง แบรนด์ที่อ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตน “ได้รับการรับรองมาตรฐาน Energy Star” แต่เมื่อตรวจสอบในฐานข้อมูลของ Energy Star กลับไม่พบชื่อผลิตภัณฑ์นั้นอยู่เลย 

Green Marketing vs. Greenwashing เส้นแบ่งบางๆ ที่แบรนด์ต้องระวัง 

  • Green Marketing (การตลาดสีเขียว) คือการสื่อสารการตลาด ที่อยู่บนพื้นฐานของความจริง เป็นการโปรโมตผลิตภัณฑ์ หรือกระบวนการทางธุรกิจ ที่ได้ปรับปรุงให้ดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง หัวใจสำคัญคือความโปร่งใสและมีหลักฐานสนับสนุน 
  • Greenwashing (การฟอกเขียว) คือการสื่อสารที่เน้นการสร้างภาพ มากกว่าความจริง เป็นการใช้การตลาด เพื่อปกปิดหรือบิดเบือนข้อมูลให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด 

จะเห็นว่า เส้นแบ่งของทั้งสองสิ่งนี้คือ “ความจริงใจและความโปร่งใส” นั่นเอง 

ผลเสียของการทำ Greenwashing ที่ร้ายแรงกว่าที่คิด 

การทำ Greenwashing อาจช่วยเพิ่มยอดขายในระยะสั้นได้ แต่ในระยะยาวส่งผลเสียร้ายแรงกว่าที่คิด 

  • ทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า เมื่อลูกค้าจับได้ว่าถูกหลอก พวกเขาจะไม่ใช่แค่เลิกซื้อสินค้า แต่จะบอกต่อความรู้สึกแย่ ๆ ที่มีต่อแบรนด์ในวงกว้าง 
  •  บั่นทอนความพยายามของแบรนด์ที่ดีจริง การฟอกเขียว ทำให้ผู้บริโภคเริ่มไม่ไว้ใจคำว่า “รักษ์โลก” อีกต่อไป ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ที่ตั้งใจทำดีจริง ๆ ให้ถูกมองด้วยความเคลือบแคลงไปด้วย 
  • ความเสี่ยงด้านกฎหมาย หลายประเทศเริ่มมีกฎหมายที่เข้มงวด ในการควบคุมการโฆษณาเกินจริงด้านสิ่งแวดล้อม การทำ Greenwashing อาจนำไปสู่การถูกฟ้องร้องและค่าปรับมหาศาล 
  • ทำลายขวัญกำลังใจของพนักงาน พนักงานที่รู้ว่าบริษัทของตัวเอง ไม่ได้จริงใจอย่างที่พูด อาจรู้สึกหมดศรัทธาและไม่มีความสุขในการทำงาน 

ดังนั้นสำหรับผู้บริโภค การเรียนรู้ที่จะตั้งคำถามและมองหาสัญญาณเหล่านี้ จะช่วยให้สนับสนุนแบรนด์ที่ดีอย่างแท้จริงได้ ส่วนแบรนด์ การทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์และโปร่งใส ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นหนทางเดียวที่จะสร้างความยั่งยืนและความสำเร็จในระยะยาวได้ 

THE INSIGHT HUB

ก้าวนำหน้าคู่แข่งและมองเห็นโอกาสทางธุรกิจก่อนใคร
ด้วยบทวิเคราะห์ เทรนด์ และกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ได้จริง
ส่งตรงถึงอินบ็อกซ์ของคุณ สมัครฟรี!

Latest stories

- Advertisement - spot_img

You might also like...